เมื่อสังคมโลกภายนอกได้จัดตั้งสังคมย่อยขึ้นมาที่เรียกว่า “โรงเรียน”
โรงเรียนจึงเป็นระบบกึ่งบังคับให้มนุษย์ทุกคนต้องเข้ามามีส่วนร่วมและเรียนรู้ในสังคมย่อยนี้อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ทำให้สังคมย่อยนี้มีบทบาทและส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกมนุษย์เป็นอย่างมาก
เพราะมนุษย์จะส่งผลต่อชุมชน
แล้วชุมชนก็จะส่งผลต่อระดับสังคม
แล้วสังคมก็จะส่งผลต่อระดับประเทศ
แล้วประเทศก็จะส่งผลต่อระดับโลก
ในช่วงภาคต้นของชีวิตทุกคนจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในสังคมย่อยนี้ อีกส่วนน้อยอยู่กับครอบครัว อีกส่วนน้อยลงไปอีกอยู่กับสังคมส่วนตัว เช่น เพื่อนฝูง กิจกรรมภายนอก และอีกน้อยลงไปอีก น้อยที่สุดคือ อยู่กับตัวเอง
ระบบโรงเรียนที่มีในปัจจุบันส่วนใหญ่จะถูกก่อตั้งขึ้นมาจากจิตสานึกที่ยังไม่ได้พัฒนาของคนจากรัฐบาลและนักธุรกิจ
เช่นนั้นแล้วจึงส่งผลให้โรงเรียนส่วนใหญ่มีระบบที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ของผู้มีอานาจสูงสุด และมุ่งเน้นผลประโยชน์ทางรายได้มากกว่าตัวนักเรียน
ในโรงเรียนจึงเต็มไปด้วยการควบคุม กฏระเบียบ การตัดสิน การแข่งขัน ทาให้นักเรียนเกิดจิตสานึกที่ต้องเอาชนะกันอยู่ตลอดเวลา เพราะโรงเรียนจะให้คุณค่าแต่ผู้ชนะเท่านั้น
โรงเรียนมีกฎระเบียบ มีการควบคุม และมีการตัดสินอยู่เสมอ นั่นมีสาเหตุหนึ่งมาจากการที่บุคคลากรผู้ดูแลมีจิตใจคับแคบ ไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจในตัวเด็ก ๆ ไม่กล้าให้เด็กๆลองผิดลองถูก ไม่อยากให้เด็กแสดงความคิดเห็น และไม่อยากให้เด็ก ๆ ได้ฝึกใช้ปัญญา และการตัดสินใจด้วยตัวเอง
ผู้ใหญ่จึงมักจะคิดให้ มักจะเลือกให้จากความพึงพอใจส่วนตัว และผู้บังคับบัญชาอีกที
ผู้ใหญ่กลัวเด็กๆจะทาผิดไปจากที่ตนพอใจ หรือทาอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่พวกเขาบังคับเอาไว้ เพราะหากเด็กๆไม่ทาตามที่ผู้ใหญ่บังคับ จะทาให้ผู้ใหญ่คนนั้นรู้สึกเสียหน้าและไร้อานาจ
เมื่อนักเรียนต่างพากันตกอยู่ภายใต้ความเกรงกลัวต่อกฎระเบียบและการลงโทษ เขาจะมีความกดดันและไม่กล้าแสดงออกหรือทาอะไรที่ผิดกฎระเบียบต่อหน้าผู้ใหญ่
แต่เขาจะเลือกทาสิ่งที่อยากทาลับหลัง ซึ่งส่วนใหญ่สิ่งที่พวกเขาจะแอบทาลับหลังจะเป็นสิ่งที่ถูกห้ามไม่ให้ทา
และเขาจะเริ่มเรียนรู้การโกหก
เมื่อผู้คนถูกบีบบังคับให้อยู่ในกรอบและกฎเกณฑ์ข้อห้าม เมื่อนั้นผู้คนจะเรียนรู้วิธีการโกหกเพื่อจะได้แอบทาเรื่องที่ถูกห้ามได้โดยปราศจากการลงโทษ
เมื่อเด็กๆถูกห้าม ถูกตัดสิน ถูกลงโทษ ก็ทาให้เขาจะไม่กล้าเปิดเผยหรือแสดงออกทางปัญญาส่วนตัวที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่สังคมโรงเรียนกาหนด เพราะความกลัว
ทาให้ปัญญาภายในนั้นถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ไม่ได้ถูกนาออกมาใช้ เมื่อไม่ได้ใช้ ปัญญาก็ไม่ได้รับการพัฒนา
เมื่อขาดปัญญา นักเรียนก็ขาดการวิวัฒนาการ แล้วเขาจะกลายเป็นคนที่จิตสานึกอ่อนแอตกต่าได้ง่าย
ทาให้ง่ายต่อการถูกชักจูง และตกอยู่ภายใต้อานาจของจิตสานึกส่วนรวมของสังคมที่ผิดปรกติ ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันทางฐานะ ชื่อเสียง เกียรติยศ อานาจ วัตถุ และการเป็นผู้ชนะ
สุดท้ายเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เติบโตมาเต็มไปด้วยอัตตา เขาจะเห็นแก่ตัว ใจร้าย อารมณ์ขึ้นๆลงๆได้ง่าย สมาธิสั้น ขาดสติสัมปชัญญะ ยึดติดกับสิ่งต่างๆที่เสื่อมสลายได้
เห็นคุณค่าผู้อื่นจากภายนอก หลงไหลการมีอานาจ จึงทาให้มักจะกดขี่หรือดูถูกผู้อื่นเสมอ และต้องการเอาชนะอยู่เสมอ ส่งผลให้เกิดความเลื่อมล้าทางสังคมสูง
คนที่รวยก็มีเงินและสมบัติเก็บไว้มากจนไร้ประโยชน์ ส่วนคนที่จนก็แทบจะไม่มีอาหารกิน
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทาให้เขาห่างไกลคุณค่าที่แท้จริงจากภายในของตัวเองและผู้อื่น เขาจะไม่เจอปัญญาของตัวเอง
เขาจะไม่รู้จักความธรรมดาและเรียบง่าย
เมื่อเขาไม่เจอความธรรมดาและเรียบง่าย
เขาก็ไม่ได้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
เมื่อเขาไม่รู้จักตัวเอง
เขาก็รักตัวเองไม่เป็น
เมื่อรักตัวเองไม่เป็นเขาก็รักผู้อื่นไม่ได้
เมื่อรักผู้อื่นไม่ได้
เขาก็จะเห็นแก่ตัวและทาแต่การใดๆที่สนองอัตตา อารมณ์และอานาจส่วนตัวเท่านั้น
และวิธีการที่เขาจะเลือกทาเพื่อให้ตนเองมีอานาจและดูสูงส่งกว่าผู้อื่นก็คือ “การกดผู้อื่นให้ต่าลง”
เพราะเขากลัวว่าคนอื่นๆจะทัดเทียมและจะมาอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา
เช่นนั้นแล้วเขาก็จะไม่ได้เป็นคนพิเศษ ไม่สูงส่ง และไม่มีอานาจเหนือใครอีกต่อไป เพราะทุกคนจะเท่าเทียมกันหมด เมื่อคนส่วนใหญ่กลัวว่าตัวเองจะต่าต้อยลง ก็จะยิ่งแข่งขัน และเห็นแก่ตัวมากขึ้น
เมื่อเขาเห็นแก่ตัว เขาก็ไม่อยากทาอะไรเพื่อผู้อื่นและสังคม เมื่อสังคมไม่ถูกพัฒนาก็จะตกต่าลงจนสังคมและโลกนี้กลายเป็นนรกบนดิน
สุดท้ายสิ่งที่เขาพยายามทาเพื่อให้ตัวเองได้สูงส่งเหมือนอยู่บนสวรรค์มันก็จะกลายเป็นนรกสาหรับเขาไปด้วยในที่สุด
ฉะนั้นสิ่งสาคัญคือการที่เด็กๆจะต้องได้รู้จักความจริงที่จริงแท้ที่สุด เพราะความจริงจะทาให้เห็นต้นตอสาเหตุและผลลัพธ์ระยะยาวของสิ่งต่าง ๆ ได้
เมื่อเขาเห็นความจริงของความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ เขาก็จะรู้จักตัวตนที่แท้จริงที่สูงส่งแต่เรียบง่ายของตัวเขาเอง นั่นก็คือ จิตวิญญาณ
ถ้าเขารู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองคือจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และน่ารักที่สุด เขาก็จะรักตัวเองได้อย่างอัตโนมัติ และจะไม่กล้าทาอะไรที่เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความสูงส่งงดงามดั่งที่เขาเป็น
เขาจะเลือกทาแต่สิ่งที่สูงส่งดังเช่นที่เขาเป็น เขาจะมีจิตสานึกสูงส่งที่เป็นจิตกุศลที่จะทาเพื่อผู้อื่น เพื่อส่วนร่วม เพื่อสังคม เพื่อโลก เพื่อสร้างสังคมโลกใหม่ให้สาหรับมนุษย์ทุกคนได้อยู่อย่างมีความสุขเหมือนบนสวรรค์เหมือนๆกันทุกคน ไม่ใช่สร้างสวรรค์แค่สาหรับตัวเองคนเดียว
เพราะเมื่อเขาทาและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้อื่น สุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสาหรับตัวเขาเองด้วย
ฉะนั้นแล้วเธอและคณะจึงจาเป็นต้องสร้างสังคมย่อยที่เรียกว่าโรงเรียน และชุมชนศิวิไซ์นี้ขึ้นมาใหม่จากจิตสานึกที่ได้รับการพัฒนาแล้วของพวกเธอ เพื่อเป็นเสมือนการสร้างศาสนาใหม่ การสร้างศาสนาใหม่ก็คือการสร้างจิตสานึกใหม่
โรงเรียนนี้จะเป็นการปูทางเพื่อเตรียมพัฒนามนุษย์ให้มีจิตสานึกพุทธะได้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อวันเวลาผ่านไปนักเรียนที่จะจบจากโรงเรียนนี้ก็จะมากขึ้นพวกเขาจะทยอยกันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตสานึกพุทธะมากขึ้น
เมื่อคนส่วนใหญ่ในสังคมมีจิตสานึกสูงส่ง คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนดีได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ใดๆมาบังคับให้เป็นคนดีอีกต่อไป
กฏหมาย ข้อบังคับ ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ก็จะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นกฎสากลที่ทุกคนจะทาด้วยความเต็มใจและภูมิใจเพราะมันจะกลายเป็นจิตสานึกของทุกคนโดยอัตโนมัติ
เมื่อพวกเขามีปัญญาพุทธะและมีจิตสานึกพุทธะที่สูงส่งพวกเขาจะเป็นผู้เข้าไปสร้างจิตสานึกใหม่ให้คนในสังคมย่อยของเขาอีกทอดหนึ่ง เช่น ครอบครัว เพื่อนฝูง คนใกล้ชิด
พ่อแม่และคนในครอบครัวของเขาจะต้องละอายใจหากได้เห็นว่าลูก ๆ ของพวกเขานั้นมีจิตใจที่งดงามและสูงส่งกว่าที่พวกเขาเคยเป็นมามากแค่ไหน
และนั่นจะทาให้พ่อแม่และคนใกล้ตัวเขาลุกขึ้นมาวิวัฒนาการตัวเองให้ทันกับสิ่งที่ลูกเขาเป็น
โรงเรียนนี้จะมีกฎระเบียบที่น้อยมาก และกฎระเบียบนั้นจะต้องเป็นกฎระเบียบที่ผ่านการยอมรับจากนักเรียนทุกคน
หากนักเรียนคนไหนไม่ยอมรับเขาก็ไม่จาเป็นต้องทา
ที่นี่จะมีอิสระเสรี โดยเฉพาะอิสระทางปัญญา
ที่นี่จะสนับสนุนให้นักเรียนได้ออกแบบการเรียนและการดารงชีวิตในโรงเรียนได้เอง การเรียนการสอนจะเป็นการเรียนผ่านการลงมือทาจริง ไม่เน้นวิชาการ ไม่มีการตัดสิน ไม่มีคะแนน ไม่มีการจัดลาดับ ไม่มีการแข่งขันใดๆทั้งสิ้น
ที่นี่จะเต็มไปด้วยธรรมชาติ และความเรียบง่าย เขาจะได้เรียนรู้การดารงชีวิตแบบจิตวิญญาณที่เน้นคุณค่าจากภายในและการใช้ความรักและเมตตาเป็นพื้นฐานในการดารงชีวิต
ทุกคนที่นี่จะมีความเท่าเทียมกันไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่หรือใครอยู่ตาแหน่งใดก็ตาม ทุกคนจะให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกัน ไม่มีใครมีอานาจเหนือใคร นักเรียนจะไม่ถูกบังคับและลงโทษจากคุณครู
คุณครูจะเป็นเพียงผู้ดูแลอานวยความสะดวกในการเรียน เป็นเหมือนเพื่อนเหมือนพี่น้องกัน ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาที่จะยัดเยียดความรู้ของตนเองใส่เด็กๆ
คุณครูทุกคนจะมีคุณสมบัติเป็นผู้มีความเมตตา ใจกว้าง ใจเย็น และจะได้รับการพัฒนาและมีทักษะในการทาความเข้าใจในตัวเด็กๆแต่ละคนเป็นอย่างดี
คุณครูที่นี่ไม่จาเป็นจะต้องเป็นผู้มีความรู้สูงไม่จาเป็นต้องมีใบประกาศทางการศึกษาใดๆมารองรับทักษะที่มี