กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสำนักของนักปราชญ์คนหนึ่งมีชื่อว่า ปภัสรา ซึ่งเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงด้านการประสิทธิ์ประสาทวิชาหลากหลายแขนง ขึ้นชื่อว่าลูกศิษย์ที่จบการศึกษาจากสำนักแห่งนี้ส่วนใหญ่ จะประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง ซึ่งไม่เหมือนกับสำนักอื่นๆที่ครูมักจะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
…
สำนักของเขาตั้งอยู่ในป่าที่ห่างไกล บริเวณรอบๆสำนักมีสวนผลไม้นานาชนิดมีแปลงเกษตร มีพืชพันธ์ทั้งที่ใช้เป็นอาหารและเป็นยารักษาโรค โดยมีเหล่าลูกศิษย์ทั้งปัจจุบันและรุ่นก่อนๆช่วยกันปลูกเอาไว้ และมีลำธารที่ใสสะอาดไหลผ่านสามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ เพียงแค่เดินไปหาบมาใส่ตุ่มเก็บไว้เท่านั้น
…
แต่วันนี้เป็นวันสอบสัมภาษณ์เพื่อรับสมัครนักเรียนใหม่ ซึ่งจะเปิดเป็นรอบๆในทุกๆสามเดือน ซึ่งผู้ที่จะเข้าเรียนได้จะต้องมีอายุสิบห้าปี วันนี้ดูจะเป็นวันพิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะมีคณะของเหล่าอำมาตย์แห่งเมืองโคราปุระ เดินทางพาเจ้าชายที่มีอายุถึงเกณท์พอดีมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ที่หน้าสำนักจึงคราคล้ำไปด้วยผู้คน มีทั้งกองทหารที่เดินทางมาเพื่ออารักขา มีทั้งเหล่าเสนาบดีที่เป็นหัวหน้าคุมการเดินทาง มีทั้งข้าทาสบริวารที่เป็นพลขับราชรถและดูแลเกวียนเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง
…
ถึงแม้ว่าที่หน้าสำนักของท่านปภัสราวันนี้จะดูวุ่นวายเนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากมาปักหลักพักค้างแรม เพื่อรอการเปิดรับสมัคร แต่เมื่อถึงเวลาให้ผู้สมัครเข้าไปในสำนักกลับมีนักเรียนเพียงแค่สองคน ซึ่งอาจารย์ไม่อนุญาตให้มีผู้ติดตามเข้าไปด้วยโดยเด็ดขาด คนแรกคือ เจ้าชายสุริยาแห่งเมืองโคราปุระ และคนที่สองคือ อาคีนะ ซึ่งเป็นลูกชาวนาอาศัยอยู่ในชนบท โดยเขาเดินทางมาเพียงลำพัง
…
เมื่อประตูไม้ขนาดใหญ่เปิดออกทั้งสองจึงค่อยๆเดินก้าวเข้าไปข้างในพร้อมกับสัมภาระส่วนตัวที่สามารถถือได้ด้วยตัวเอง หากอาจารย์ไม่รับเป็นศิษย์ก็ต้องกลับออกมา ดังนั้นเหล่าผู้ติดตามจึงต้องรอผลการสอบที่หน้าประตูก่อน เมื่อทั้งสองเดินพ้นประตูเข้าไป ภายในเป็นลานโล่ง ทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการเรียน มีลูกศิษย์ของท่านอาจารย์กำลังทำงานของตัวเองอย่างขมักเขม่น เบื้องหน้ามีศาลาหลังเล็กๆ มีตั่งเตี้ยๆสูงจากพื้นประมาณแค่หัวเข่าตั้งอยู่หนึ่งตัว และก็มีชายชราร่างสันทัดคือไม่สูงและไม่เตี้ย รูปร่างผอมแต่ดูแข็งแรง ผมสีขาวเกล้าเป็นมวย มีเคลายาวสีเดียวกับเส้นผม นั่งบนตั่งในท่าห้อยขาลงข้างหนึ่ง
…
เมื่อเดินไปอยู่ต่อหน้าอาจารย์ ทั้งสองจึงนั่งลงกับพื้นและทำความเคารพตามมารญาติอันดีของนักเรียนใหม่ คำแรกที่อาจารย์พูดกับลูกศิษย์ใหม่คือ “ข้าจะรับผู้ที่เข้ามาเรียนกับข้าเฉพาะคนที่มี ‘สมบัติ’ อยู่กับตัวเท่านั้น ใครที่ไม่มีสมบัติจะไม่มีสิทธิ์ได้เรียนกับข้า เจ้าทั้งสองมีสมบัติอะไรติดตัวมาลองเอามาให้ข้าดูหน่อยสิ”
…
เจ้าชายสุริยานึกกระหยิ่มในใจว่า ดีนะที่เขาเตรียมเหรียญทองติดตัวมาหนึ่งถุงเต็มๆหรือจำนวนสองร้อยเหรียญ พร้อมกับป้ายอาญาสิทธิ์แห่งราชวงค์โคราปุระ ซึ่งใครก็ตามที่ถือป้ายอันนี้จะต้องได้รับการดูแลด้วยความเคารพ ตามราชโองการที่พระราชากำหนดเอาไว้ หากใครฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ ทันทีที่อาจารย์พูดจบเขาก็เปิดย่ามหยิบเอาของทั้งสองสิ่งนั้นออกมาวางไว้ตรงหน้าและก็พูดว่า “ข้ามีเหรียญทองสองร้อยเหรียญและมีป้ายอาญาสิทธิ์จากราชวงค์โคราปุระขอรับ”
…
ส่วนอาคีนะได้แต่นั่งนิ่งก้มหน้าไม่พูดอะไร และไม่ได้นำสิ่งใดออกมาจากย่าม
…
“ว่าอย่างไรล่ะพ่อหนุ่ม เจ้ามีสมบัติอะไร” ท่านอาจารย์พูดขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าเขา
…
เมื่ออาคีนะได้ยินท่านอาจารย์ทวงถาม ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกตอกย้ำในความยากจนของเขา เขาจึงตัดสินใจพูดตามความเป็นจริง
…
“ข้า…ข้า… เป็นคนยากจนอาศัยอยู่ในชนบทอันห่างไกล ปู่ของข้าเป็นชาวนา พ่อของข้าก็เป็นชาวนา และข้าเองก็เป็นชาวนา ข้าไม่มีสมบัติอันใดหรอก อย่าว่าแต่เหรียญทองเลย แม้แต่เบี้ยที่มีค่าน้อยที่สุดข้าก็ยังไม่มีติดตัว สิ่งที่ข้ามีอยู่เพียงชิ้นเดียวคือขลุ่ยไม้ไผ่ที่ปู่มอบให้ข้าก่อนตาย สำหรับข้าขลุ่ยเล่มนี้คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของข้า ยามใดที่ข้าหยิบมันขึ้นมาเป่า มันทำให้ข้าระลึกถึงเพลงขลุ่ยของปู่ ที่เป่าให้ฟังหลังอาหารเย็นและก่อนนอน มันทำให้ข้ามีความสุขโดยเฉพาะยามที่ข้าจากบ้านมาไกล มันทำให้ข้าคลายความคิดถึงพ่อแม่พี่น้องที่นั่งล้อมวงกินข้าวกันอย่างมีความสุข” อาคีนะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆพร้อมกับล้วงขลุ่ยเล่มนั้นออกมาจากย่ามมาวางไว้ตรงหน้า
…
“เอาหล่ะ… บัดนี้ข้าจะให้เจ้าทั้งสองไปพิสูจน์ว่าสมบัติที่เจ้ามีอยู่นั้นมีค่าแค่ไหน โดยพวกเจ้าจะต้องไปที่โรงครัวและนำสมบัติของเจ้าไปแลกกับอาหารมื้อกลางวัน หากเจ้าใช้มันแลกอาหารมากินได้เจ้าก็สามารถเรียนที่สำนักของข้า แต่ถ้าใช้ไม่ได้เจ้าก็ไม่มีสิทธิ เพราะเจ้าจะไม่มีอาหารกินไปจนจบการศึกษา” ท่านปภัสราพูด
…
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปตามทิศทางที่ท่านอาจารย์ชี้ โดยมีเจ้าชายสุริยาเดินนำหน้าไปอย่างมั่นใจ ซึ่งตรงกันข้ามกับอาคีนะซึ่งเดินตามไปอย่างช้าๆเพราะเขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขาอาจจะไม่มีสิทธิได้เรียนที่นี่ เมื่อไปถึงโรงอาหารทุกคนที่กำลังนั่งอยู่ที่นั่นต่างก็หันมามองนักเรียนใหม่เป็นตาเดียวกัน ถัดจากผู้ที่นั่งบนโต๊ะอาหารก็มีแม่ครัวประมาณ5-6 คนกำลังง่วนอยู่กับการตักอาหารใส่จานให้กับนักเรียน และเตรียมวัตถุดิบสำหรับการปรุงอาหารมื้อต่อไป เขาทั้งสองจึงเดินตรงไปหาคนกลุ่มนั้นทันที
…
“นี่เจ้า… ข้าจะซื้ออาหารที่พวกเจ้าทำนี้ด้วยเหรียญทองของข้า” เจ้าชายสุริยาพูดขึ้นพร้อมกับยื่นเหรียญทองหนึ่งเหรียญให้กับแม่ครัว
“เจ้ามีสมบัติอยู่แค่นี้เองหรือ เจ้ายังมีอีกไหม” แม่ครัวคนหนึ่งถาม
“มีสิ…ถ้าหนึ่งเหรียญไม่พอข้ามีทั้งถุงเลย” เจ้าชายพูดพร้อมกับยกถุงทองชูขึ้น
“เหรียญทองของเจ้าไม่มีค่าสำหรับที่นี่หรอก เพราะการจะได้มาซึ่งหัวเผือกหัวมันเหล่านี้ ทุกคนจะต้องไปปลูกเอง จะต้องไปรดน้ำพรวนดินเองและต้องไปขุดมันมาด้วยตัวเอง เจ้าทำอะไรเป็นบ้างล่ะ ขุดดินเป็นไหม หาบน้ำไปรดผักเป็นไหม” แม่ครัวคนหนึ่งถาม
“ข้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเองหรอก เพราะข้ามีป้ายอาญาสิทธิ์ ใครก็ตามที่เห็นป้ายนี้ เขาจะต้องมารับใช้ตามที่ข้าบัญชา” เจ้าชายพูดพร้อมกับยกป้ายนั้นชูขึ้น
“ฮ่าๆๆ… แผ่นป้ายของเจ้าสำหรับที่นี่มันช่างไร้ค่า เพราะมันเล็กเกินไปหากจะนำไปใช้ขุดดิน และมันก็คงจะให้ความร้อนได้เพียงน้อยนิดหากจะเอาไปใช้ทำฟืน” แม่ครัวตอบ
“บังอาจ… นี่เจ้ารู้ไหมว่าข้าคือใคร ข้าคือราชโอรสของกษัตริย์แห่งนครโคราปุระ ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวปกครองแคว้นแห่งนี้นะ” เจ้าชายพูด
“ข้าไม่สนใจหรอกว่าข้างนอกเจ้าจะเป็นใคร แต่ในนี้คนที่สามารถทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นคือสิ่งล้ำค่า ถ้าเจ้าไม่มีสมบัติมากกว่านี้จงหลีกทางให้คนต่อไป ไหนเจ้าคนนั้นล่ะมีสมบัติอะไร” แม่ครัวคนเดิมพูดอย่างไม่ใยดีพร้อมกับหันไปถามอาคีนะ
“ข้าสามารถขุดดินได้ ข้าเคยทำนา ข้าสามารถทำงานได้ทุกอย่าง” อาคีนะพูดกับแม่ครัวหลังจากที่ประเมินการสนทนาของเจ้าชาย
“ถ้าเจ้าไม่มีสมบัติอื่นใด และหากเจ้าต้องการจะกินอาหารของข้าเจ้าก็ต้องไปทำเช่นนั้นก่อน แต่ที่ข้าถามนี้คือ เจ้ามีสมบัติอะไรมากกว่านี้อีกไหม” แม่ครัวถาม
“เอ่อๆ ข้ามีเพียงขลุ่ยไม้ไผ่ครับ ท่านต้องการฟังเพลงอะไรข้าสามารถเป่าให้ท่านฟังได้นะ” อาคีนะตอบ
“ไหนเจ้าลองเป่าให้ฟังหน่อยสิ” แม่ครัวอีกคนที่อยู่ด้านหลังพูดแทรก
จากนั้นอาคีนะ ก็เริ่มเป่าขลุ่ยของเขา เขาเลือกเพลงหนึ่งที่ให้ความรู้สึกถึงสายลมที่พัดเอื่อยๆ เสียงขลุ่ยที่ลากยาวโหยหวลมันทำให้นึกท้องทุ่งที่กว้างไกลสุดสายตา คนทั้งโรงอาหารต่างหยุดนิ่งและหันมาจับจ้องอาคีนะราวกับต้องมนต์สะกด
“เจ้าสามารถกินอาหารที่โรงครัวของข้าได้ทุกวัน วันละสามมื้อ ขอเพียงให้เจ้ามาเป่าขลุ่ยให้ข้าฟังระหว่างที่กินอาหาร” แม่ครัวคนแรกที่ดูเป็นหัวหน้าพูด หลังจากที่อาคีนะเป่าเพลงแห่งสายลมนี้จบ
“เจ้าช่วยสอนเพลงขลุ่ยนี้ให้ข้าด้วยได้ไหม ข้าจะแลกด้วยการตักน้ำไปใส่ตุ่มให้เจ้าอาบทุกวัน” ชายที่เป็นนักเรียนรุ่นพี่พูดขึ้น
“เจ้าสามารถสอนให้ข้าทำขลุ่ยอันนี้ได้ไหม ถ้าสอนได้เจ้าไม่ต้องลงไปขุดดิน ข้าจะทำแทนเจ้าเอง” นักเรียนอีกคนเสนอ
“เอาหล่ะๆ… ข้าได้ประจักษ์แล้วว่าเจ้ามีสมบัติที่ลำค่า จากนี้ไปเจ้าสามารถจะอยู่ที่สำนักของท่านปภัสราได้ ส่วนเจ้าคนนั้นหากไม่มีสมบัติอะไรมากกว่านี้ ถ้าเจ้าต้องการจะเรียนที่นี่และมีอาหารกิน เจ้าจงไปขุดดิน,ไปหาบน้ำ แต่หากทำไม่ได้ก็จงกลับไปเสีย” หัวหน้าแม่ครัวพูดสรุป
.
อารียา เมตายา
สมบัติอันล้ำค่า คือตัวของเรา ตัวตนของเรา ส่งความรักผ่านสิ่งที่เรารักที่จะทำ มันล้ำค่าที่สุด
เมื่อมีคนเห็นประโยชน์ และมีความต้องการ สิ่งนั้นจึงมีคุณค่า มูลค่าเป็นเพียงสิ่งสมมติที่ถูกตีราคาขึ้นมา ในชุมชนหนึ่งอาจจะเป็นของล้ำค่า แต่หากไปอยู่ในที่ที่ไม่มีคนต้องการก็เป็นของไร้คุณค่าได้เช่นกัน