เมื่อฉันเริ่มพูดชักชวนผู้คนให้มาร่วมกันสร้างสรรค์โลก“อุดมคติ” หรือชวนกันมาฟื้นฟูโลกใบนี้ให้กลายเป็น “แดนสุขาวดี” ฉันจะพบว่าร้อยละ 90 ของคนที่ได้ยินคำพูดนี้จะบอกว่าฉันเพ้อเจ้อเพ้อฝัน… ฉันเข้าใจดีว่าทำไมเขาจึงคิดเช่นนั้น เพราะมันยากที่จะทำให้ผู้คนทั้งโลกหันมาใส่ใจในผลกระทบกับทุกๆบริบททางสังคม ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต สุขภาวะและจริยธรรม, เพราะมันยากที่คนทั้งโลกจะหันมามอบความรักความปรารถนาดีให้กันและกัน, เพราะมันยากที่คนทั้งโลกจะเลิกเบียดเบียนชีวิตสัตว์น้อยใหญ่, เพราะมันยากที่จะทำให้โลกหวนกลับคืนสู่ความสวยสดงดงามดั่งที่มันเคยเป็นมาในอดีต ฯลฯ
…
มีผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่รับฟังและพยายามทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของฉัน ดังนั้นฉันจึงขอใช้โอกาสนี้อธิบายที่มาที่ไปและกระบวนการทั้งหมดว่า ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนี้, มีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมอะไร, และเราจะดำเนินการเรื่องนี้กันอย่างไร
…
ประการแรก เราต้องเข้าใจก่อนว่า“ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนี้”ความเป็นจริงทางกายภาพที่ต้องยอมรับคือ ขณะนี้โลกของเรากำลังเผชิญหน้ากับมหาภัยพิบัติครั้งใหญ่ ซึ่งปัจจุบันทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากเรายังไม่สามารถหยุดอัตราการเพิ่มอุณภูมิในบรรยากาศโลกอันเนื่องมาจากสภาวะเรือนกระจก, หากเรายังไม่สามารถหยุดการเผาผลาญเชื้อเพลิงทั้งก๊าซธรรมชาติ,น้ำมันและถ่านหิน, หากเรายังไม่สามารถหยุดการใช้สารเคมีและหยุดการปล่อยมันลงสู่ธรรมชาติ ฯลฯ ทั่วโลกจะต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เช่นระดับน้ำทะเลท่วมสูงอันเนื่องมาจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย, สภาพภูมิอากาศที่วิปริตแปรปรวนอย่างรุนแรงมากกว่าครั้งไหนๆหรือที่เราเรียกว่าปรากฏการณ์เอลนีโญ, เราจะต้องเผชิญกับสภาวะการสูญพันธ์ของสัตว์กว่า 1 ล้านสายพันธุ์ซึ่งจะถือว่าเป็นมหัตภัยครั้งร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลก และสุดท้ายเมื่อสถานการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาถึงจุดสูงสุด โลกจะเกิด“การปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อการดำรงอยู่” คล้ายกับการสลัดขนของสุนัขเมื่อมันเปียกน้ำ ซึ่งแน่นอนที่สุดมันจะต้องมีผลกระทบกับมนุษย์ทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องตระหนักแล้วว่านับจากนี้เป็นต้นไปเราไม่สามารถปล่อยให้กิจกรรมต่างๆ บนโลกดำเนินไปในแบบที่เคยเป็นมาได้อีกแล้ว เราจำเป็นจะต้องร่วมมือกันทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม
…
ประการที่สอง “ปัจจัยที่เหมาะสมต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลง” ช่วงเวลาไม่ถึง 20 ปี ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าโลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มันทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่จากที่เคยผูกขาดการให้บริการหลายประเภทต้องปิดฉากลงแบบกระทันหัน ในทางกลับกันมันทำให้เกิด โอกาสใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ ผู้ประกอบการใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับข้อเสนอใหม่ๆ เช่นเร็วกว่า,ง่ายกว่า,ประหยัดกว่า ฯลฯ เกิดขึ้นมากมาย สรุปง่ายๆว่าเทคโนโลยีจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงกับสังคมในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว
…
ประการที่สาม “ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงแต่ต้องขึ้นอยู่กับการเลือกของเรา” เพราะในปัจจุบันเราทุกคนสามารถเชื่อมโยงกันด้วยเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซึ่งทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆได้อย่างไร้พรมแดน เพราะเรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่าในอดีต เช่นกำลังมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Ai) หรือ (Machine Leaning) ซึ่งมันจะทำให้ขีดความสามารถที่เคยเป็นข้อจำกัดบางประการของมนุษย์นั้นลดลง เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์จัดการบางสิ่งบางอย่าง เช่นวิเคราะห์,ประเมิน,ประมวลในทุกๆความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำและตรงไปตรงมา ผลลัพธ์คือสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นปัญหา เช่นความลับที่เคยถูกปกปิด, การเอารัดเอาเปรียบ,การไม่ตระหนักรู้ในผลกระทบต่อทุกๆบริบททางสังคมอาจจะหมดไป เราจึงมีความเชื่อว่าเทคโนโลยีจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเทคโนโลยีนั้นจะต้องไม่ถูกนำมาใช้ส่งเสริม“ความโลภ” อย่างเคยเป็นมา มิเช่นนั้นโลกของเราจะยิ่งมีอัตราเร่งของความหายนะมากเป็นทวีคูณ เทคโนโลยีจะต้องประกอบขึ้นจากฐานคิดจริยธรรมซึ่งเป็นด้านตรงข้าม เช่นจะต้องส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปัน (Share), จะต้องส่งเสริมให้เกิดการดูแลเอาใจใส่ในทุกๆ บริบททางสังคม (Care), และต้องส่งเสริมให้เกิดความโปร่งใสบริสุทธิ์ยุติธรรม (Fair)
…
และนี่คือโอกาสเดียวที่เราจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบมหาภาคได้ ถึงแม้ว่ามันจะดูริบหรี่เต็มทีแต่ถ้าเราคิดและวางยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบเราอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญได้ ฉันเชื่อว่าหากมีการรวมตัวของคนที่เข้าใจ,มองเห็นความเป็นไปได้, เชื่อมั่นว่ามันจะเกิดขึ้นจริงและตัดสินใจลงมือทำมันอย่างเป็นรูปธรรม เราจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง เวลานี้ หากคุณมีสายตาหรือเครื่องมือที่สามารถมองเห็นรูปธรรมอื่นๆ ที่มาชุมนุมกันจากทั่วทั้งจักรวาล พวกเขากำลังมาช่วยกันทำบางสิ่งบางอย่างตามแผนการที่วางไว้ คุณจะรู้ว่าพวกเขากำลังรอให้พวกเราเข้าร่วมภารกิจนี้กับเขาอย่างใจจดใจจ่อ นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดมันคือ “ยุคแห่งการฟื้นฟู” ของโลกใบนี้
…
อารียา เมตายา